
จากการสังเกตสภาวการณ์บ้านเมืองและสิ่งแวดล้อมต่างๆทั้งในส่วนแห่งโลกและธรรม ตลอดระยะเวลากว่า 3 ทศวรรษที่ผ่านมานั้น ทำให้ได้ประจักษ์แน่แก่ตาแก่ใจอย่างไม่มีใดต้องสงสัยว่า โลกและสังคมของเรานี้ แม้จะมีความเจริญทางวัตถุธรรม เป็นอย่างยิ่ง ชนิดที่ไม่เคยปรากฏมีมาก่อนถึงเพียงไร แต่ทางธรรมหรือจิตใจของประชาโลกโดยองค์รวมแล้ว กลับ “เจริญลง”สวนทางอย่างรุนแรงที่สุดด้วยเช่นกัน…
สิ่งใดที่บรรดาท่านผู้รู้ผู้ที่เจริญแล้วเคยยกย่องนับถือกันว่าเป็นความดีงามหรือความที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรมและศีลวัตรจรรยา แต่พอมาถึงยุคนี้ ความดีความงามดังเก่าก่อน กลับถูกเพิกเฉยละเลย ตลอดจนเป็นที่หมิ่นประมาท ด้วยเหตุที่ผู้นำสังคมหรือกลุ่มคนกลุ่มผลประโยชน์จำนวนไม่น้อย มีปัญญา,อุปวาสนาตลอดจนจิตใจที่ต่ำลง จนไม่เพียงมองไม่เห็นถึงคุณค่าและประโยชน์ของ “ธรรม” แต่ซ้ำยังเหยียบย่ำทำลายให้พินาศวอดวายไร้คุณค่าและสาระลงอีกต่างหากเสียด้วย
พร้อมนี้ ก็ยังได้มีการสร้าง “ความถูกต้อง”อย่างใหม่ แบบ “ตามใจตนเอง”ขึ้นมาให้สอดคล้องตอบสนองกับ “กิเลส”และ“ผลประโยชน์ส่วนตัว”อย่างไม่มีความละอายใดๆ เพียงเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจวาสนาตลอดจนทรัพย์สินเงินทองและลาภสักการะในทุกวิถีทาง ที่จะแปรเป็น “วัตถุธรรม”ของภายนอกมาบำรุงบำเรออารมณ์กิเลสที่เต็มล้นไปด้วย”อวิชชา”ของตนและพวกพ้องอย่างไม่รู้อิ่มพอ
ไม่ว่าจะโดยชอบหรือมิชอบก็ตาม…..
ด้วยเหตุดังกล่าวมา สังคมแห่ง “โลก”และ”ธรรม”ในยุคมืดยุคเสื่อมเยี่ยงปัจจุบันนี้ จึงท่วมท้นไปด้วยการฉ้อฉลหลอกลวง และไม่ซื่อตรงต่อกันอย่างน่ากลัวและน่าสังเวชเป็นอย่างยิ่ง
การจึงมีให้เห็นทั้งกรณี “หลอกในจริง”, “จริงในหลอก” และ“หลอกในหลอก” จนกระทั่งถึงขั้น “หลอน”ไปมากกว่ามาก ว่ากันให้สับสนอลหม่านไปหมด ทำให้ของ “จริงในจริง”(จริงแท้) ต้องถูกบดบังหรือกลบฝังให้ต้องจมอยู่ใต้พื้นพสุธาหรือกระแสแห่งการโฆษณาชวนเชี่อที่ไม่เป็นจริงอย่างควรให้สุดแสนเสียดายเป็นที่สุด
เรื่องของเรื่อง จึงให้เป็นที่น่าเวทนาสงสารแก่บรรดาสรรพชีวิตผู้บริสุทธิ์ที่แสวงหา “สัจจะ”และ “ของจริง”ทั้งหลาย ที่จะต้องถูกลวงล่อให้เดินผิดทาง จนต้องเสียโอกาสวาสนาที่จะพึงมีพึงได้เป็นอย่างยิ่ง
ซึ่งหากจะปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปโดยไม่คิดอ่านที่จะทำอะไรอีก ในไม่ช้านาน โลกของเรานี้ ก็คงจะต้องเข้าสู่”กลียุค”อย่างเต็มรูปแบบ ที่มีแต่การ”โกหก”ล้วนๆอย่าง ไม่จำต้องพักสงสัยเป็นแน่นอน….
ด้วยเหตุดังพรรณนามา จึงเป็นการถึงเวลาแล้วที่จะได้สร้าง “สื่อหลัก”แห่ง “พุทธิปัญญา”และ “สัจจะ”ขึ้นมาสื่อหนึ่ง ในอันที่จะปักลงในท่ามกลางกระแสแห่งโลกยุคอันตรธานอันเชี่ยวกราก เพื่อเทิดทูนและรักษาธรรมและสัจจะทั้งแห่งบวรพระพุทธศาสนาและของโลกสมมุติฝ่ายที่ถูกต้องและเป็นธรรมให้คงอยู่ตราบชั่วจิรกาล
ทั้งนี้ ก็เพื่ออนุเคราะห์แก่มวลหมู่มหาชนทั้งปวงที่ใฝ่หา “ความจริง”ที่”ถูกต้องตามความเป็นจริง”ได้ยึดได้เกาะ จนสามารถรักษาชีวิตและจิตวิญญาณแห่งตนเอาไว้ในเบื้องต้นได้ตลอดไปเป็นสำคัญนั่นเอง
เวบไซต์ “พุทธวงศ์” อันมีความหมายเป็นอุดมมงคลอย่างยิ่งคือ “พงศ์พันธุ์แห่งผู้รู้แจ้ง” จึงได้อุบัติขึ้นมาด้วยเหตุและลักษณาการเยี่ยงนี้
แม้ผู้จัดทำจะมิใช่เป็นผู้รู้แจ้ง แต่ก็กำลังแสวงหาความแจ้งในรู้ เพื่อค้นหาที่สุดแห่ง “สัจจะ”และ “ความจริง” เช่นเดียวกันคนทั้งหลาย ฉะนั้น เพื่อให้ไปถึงยังจุดหมายอันเป็นที่สุดดังประสงค์โดยสวัสดี จึงจำต้องอาศัย “เนติแบบ”และ “หนทาง”แห่งเหล่า “พุทธะ” ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระอริยสงฆ์ตลอดจนท่านผู้รู้ทั้งหลายเป็นตัวนำ เพื่อเป็นการประกันความ “ถูกต้อง”และ “ปลอดภัย” ว่า เส้นทางที่เราท่านกำลังจะก้าวเดินไปพร้อมกันนี้ จะไม่ “ผิดทาง” ให้ต้อง เสียเวลา เสียโอกาส ตลอดจนเสียชาติเกิด ที่มีวาสนาได้เกิดมาเป็น “มนุษย์” กับเขาชาติหนึ่ง แต่กลับถูกล่อลวงให้หลงไปในทางผิดหรือไร้สาระเปล่าๆปลี้ๆดังนี้ฯ
และ เพราะเหตุที่ต้นไม้ทั้งหลาย ยังมีชีวิตยืนต้นอยู่ได้ ก็เพราะสมบูรณ์พร้อมด้วย “เปลือก”และ “กระพี้” …. แม้มหาชนทั้งปวง ต่างก็มีจริตและอุปนิสสัยสูงต่ำแตกต่างกันไปเป็นธรรมดา เพื่อให้บังเกิดความเป็นประโยชน์เกื้อกูลกว้างขวางอย่างครบวงจรดังที่ว่า เวปไซต์พุทธวงศ์จึงจะไม่จำกัดขอบเขตแห่งตน ด้วยการมุ่งเน้นแต่เฉพาะ “โลก”หรือ “ธรรม”ล้วนอย่างใดอย่างหนึ่งโดยส่วนเดียว แต่นิยมที่จะคละเคล้าและอิงอาศัยซึ่งกันและกันไปอย่าง “ผสมกลมกลืน”และ “ลื่นไหล” เสมือนหนึ่งสายน้ำที่รินหลั่งไปเอิบอาบซาบซ่านแก่ทุกอณูแห่งภาคพื้นเมทนีดล พร้อมกวาดเก็บทุก “แร่”ทุก “ธาตุ”และทุก“รสชาติ”ไว้ในอุทกธาราอย่างเป็น “ธรรมดา”และเป็น“ธรรมชาติ”มากที่สุดฉะนั้น…..
1 มกราคม พ.ศ. 2549